สาระน่ารู้
กลยุทธ์ ประหยัดพลังงาน ช่วยกันพิทักษ์โลก



ที่มา : http://teenet.chiangmai.ac.th/emac/journal/1999/02/10.php

“ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” สุภาษิตดังกล่าว น่าจะใช้ได้กับคนไทยในยุคปัจจุบันที่ไม่ได้ค่อยกระตือรือร้น กับสิ่งรอบข้างของตนเอง มีหน้าที่ใช้ก็ใช้ไป ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกับการใช้พลังงาน ที่ตอนนี้ก็มีการปลูกจิตสำนึกกันทางโทรทัศน์ ทางการโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือภาพยนตร์หลายเรื่องที่แนะแนวทางให้มนุษย์เราร่วมใจช่วยกันประหยัดพลังงาน ก่อนที่จะสายเกินไป แต่เชื่อว่าหลายๆ คน ได้ชม แล้วคงจะเกิดความรู้สึกว่าผลงานชิ้นนี้ มีแนวความ คิดดี สนุกสนาน เพลิดเพลินก็แค่นั้น แต่ไม่ได้ ย้อนคิดสักนิดว่าเราได้สาระอะไรจากตรงนั้นบ้างรึเปล่า เราสามารถนำเอาไปใช้กับชีวิตประจำวันได้มากน้อยแค่ไหน ตรงนี้แหละคือประเด็นสำคัญที่หลายคนละเลยสิ่งเหล่านี้ไป แล้วสักวันหนึ่งอาจได้ยินคำว่า “พลังงานล้มละลาย” เช่นเดียวกับการล้มละลายของสถาบันการเงิน แล้วถึงตอนนั้นเราจะเรียกร้องเอากับใคร จะชูป้ายยกป้ายเรียกร้องเอาพลังงานคืนมา หรือก็ใช่ที่ ทีแต่ก่อนยังไม่ค่อยคิดกัน กลับมาเรียกร้องภายหลัง ที่ทุกอย่างก็ย่อมสายไปเสียแล้ว

ปัญหาที่มีการใช้พลังงานมากมายนั้น

ประการแรก

เกิดจากการขาดความรู้พื้นฐานเรื่อง พลังงาน เพราะการประชาสัมพันธ์ยังไม่สามารถสร้างความถี่ได้เพียงพอ ยังไม่บอกถึงอันตราย พื้นฐานใกล้ตัว ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเราบ้าง ประชาชนยังไม่รู้ หรือคิดว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัว และไม่มีความรู้ชัดเจนในผลร้ายที่จะได้รับ

ประการที่สอง

เกิดจากจิตสำนึกของการประหยัดพลังงานซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาของประการแรก เพราะผู้เกี่ยวข้องผู้มีอำนาจทางการประหยัดพลังงาน ไม่ได้กระจายข่าวสารเผยแพร่อย่างเพียงพอ จึงทำให้ประชาชนเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ชี้นำให้เกิดจิตสำนึกในการประหยัดพลังงานหลายๆ คนจึงไม่ได้สนใจ แต่ก็พอมีบ้างที่ประปรายเข้ามา เช่น โฆษณาที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นแต่ก็นั่นแหล่ะ จะได้ผลบ้างรึเปล่ามีคนนำเอาไปใช้ตามแบบอย่างสัก กี่คนเชียวเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซนต์แล้วปัญหาประการสุดท้ายซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่สุดนั้นคือ การสร้างและเสี้ยมความรอบรู้เรื่องพลังงานสำหรับประชาชนทั่วไป คือการสร้างตำราที่เป็นภาษาอ่านง่ายๆ (พลังงานที่เป็นความรู้ของวิศวะและ ผู้เชี่ยวชาญภาษาจะเข้าใจยาก) หรือจัดทำเป็นนิตยสาร วารสารที่ง่ายต่อการเผยแพร่ ภาษาสามารถสื่อได้ทุกระดับชนชั้น เพราะต้นฉบับบางครั้งอาจเป็นภาษาต่างประเทศ หรือตัวอย่าง อาคาร ร้านรวงต่างๆ เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานก็เป็น ของต่างประเทศหมด ทำให้คนไทย ไม่ค่อยจะใส่ใจหรือให้ความสำคัญ มากสักเท่าไร เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากและอยู่ไกลตัวเกินไป ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้ แต่ถ้าหากเราอยากจะช่วยประเทศชาติประหยัดพลังงาน แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกันอย่างไร มีเกร็ดความรู้ใกล้ตัวบางอย่างที่เราน่าจะทราบเป็นพื้นฐานไว้บ้าง เพื่อเป็นวิธีประหยัดไฟฟ้าด้วยตัวเอง

มะม่วงหนึ่งต้นถ่ายเทความร้อนได้เท่ากับแอร์ 1 ตัน

โดยปกติธรรมดาเครื่องปรับอากาศขนาด 1 ตัน (12,000 บีทียู) จะกินไฟประมาณชั่วโมงละ 1,500 วัตต์ แต่การปลูกต้นไม้ขนาดต้นมะม่วงที่ออกผลได้แล้ว 1 ต้น จะสามารถถ่ายเทแลกเปลี่ยนความร้อนออกมาได้เท่ากับเครื่องปรับอากาศ 1 ตัน ดังนั้นการปลูกต้นไม้ในบริเวณอาคาร นอกจากจะเกิดความชุ่มชื้น สบายตา ผลิตออกซิเจนให้ปอด และให้ร่มเงาแล้ว เจ้าต้นไม้ต้นนี้ยังสามารถทำงานได้เท่ากับแอร์ 1 ตันด้วย

สภาวะน่าสบายไม่ได้ขึ้นอยู่เฉพาะการเพิ่มความเย็น หลายท่านยังเข้าใจผิดคิดว่า ห้องปรับอากาศทำให้เกิด สภาวะน่าสบาย (comfort zone) เพราะเครื่องปรับอากาศทำความเย็น แต่หากลองเข้าไปในห้องที่เย็นอย่างเดียว แต่มีความอับชื้นมากๆ ท่านจะรู้สึกไม่สบายเลย เพราะความจริงแล้วสภาวะน่าสบายจะเกิดขึ้น จากองค์ประกอบของความพอดีระหว่าง “ความชื้น-อุณหภูมิ-แรงลม” ดังนั้น การคิด ติดตั้งเครื่องปรับอากาศโดยไม่มีการควบคุมความชื้นหรือไม่คำนึงถึงแรงลมเลย ท่านจะรู้สึกไม่สบาย เพราะ ไม่เป็น comfort zone

การคิดค่าไฟฟ้านั้น หลวงท่านคิดที่ peak hour หมายถึงชั่วโมงที่เราใช้ไฟฟ้ามากที่สุด สูงที่สุด ซึ่งชั่วโมงนั้นทางการไฟฟ้าจะต้องจัดเตรียมพลังงานให้ท่านมากที่สุด หากทุกคนใช้ไฟฟ้าอย่างหนักๆ พร้อมๆ กันในชั่วโมงเดียวกัน ณ วินาทีนั้น การไฟฟ้าท่านก็ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าให้ทันพวกเราใช้ ไฟฟ้าก็จะขาดจะดับ การไฟฟ้าท่านจึงต้องเตรียมแหล่งไฟฟ้าสูงสุด โดยอาจจะพูดง่ายๆ ว่าต้องตัดไม้ทำลายป่า ฆ่าสัตว์ ไล่ชาวบ้านออกไปเพื่อ สร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า ให้พวกเราใช้ในชั่วโมงเร่งด่วน

หากเปรียบเทียบอีกอย่าง เผื่อบางท่านจะ เข้าใจง่ายขึ้น ก็เหมือนกับการฝากเงินธนาคาร หากเราฝากเงินไว้แล้ว และค่อยๆ ถอนกัน สภาวะการหมุนเงินและการสำรองเงินของธนาคารก็เป็นปกติธรรมดา แต่หากวันใดวันหนึ่งลูกค้าทุกคน (หรือส่วนใหญ่) วิ่งไปถอนเงินพร้อมๆ กัน ธนาคารก็ไม่มี เงินจ่าย เพราะเงินสำรองไว้ในธนาคารนั้นไม่เพียงพอ ธนาคารก็ล้ม แต่หากยังอยากไปถอนเงินพร้อมๆ กันแบบนั้นให้ได้ ก็จะเกิดสภาวะเหมือน peak hour ที่ทางธนาคารจะต้องเตรียมสำรองเงินไว้เยอะๆ ธนาคารก็เอาเงินไปหมุนทำประโยชน์ไม่ได้ ธนาคาร ก็จะต้องคิดค่าบริการกับเราแพงขึ้น เนื่องจากเราต้องเตรียมการเตรียมสภาวะ peak hour

เมื่อเรารู้จักคำว่า peak hour แล้ว เราต้องทราบว่าตอนนั้นทางการไฟฟ้าท่านลำบากที่สุด ท่านไม่อยากให้เราใช้ไฟฟ้าทั้งโลกนี้ เขาเลยถือธรรมเนียมปฏิบัติ (ซึ่งยุติธรรมกับทุกฝ่าย) ว่า ราคาต่อหน่วยของค่าไฟฟ้าจะไม่เท่ากัน ยิ่งใช้ไฟฟ้ามากเท่าไร ราคาหน่วย ณ จุดที่ใช้ไฟฟ้ามากๆ จะยิ่งแพงขึ้นเรื่อยๆ เป็นหลักการแรก และการคิดค่าไฟฟ้าจะคิดถึงจำนวนหน่วยที่ใช้ทั้งวันนั้น คูณด้วยอัตราราคาของจุดที่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุด (peak hour) เช่น เราใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดทั้งวันมา 23 ชั่วโมง (สมมุติใช้ไปชั่วโมงละ 100 หน่วย) ทำให้อัตราค่าไฟฟ้าน่าจะเป็น 1 บาท ต่อยูนิต เปิดไฟฉลองกันเมามันเยอะแยะ ทำให้มีการใช้ไฟฟ้าในชั่วโมงที่ 24 นั้นเป็น 1,000 หน่วย อัตราค่าไฟฟ้าต่อหน่วยในชั่วโมงนั้น อยู่ในตารางยูนิตละ 2 บาท ทางการไฟฟ้าท่านคิดคำนวนเก็บเงิน ท่านไม่ได้คิดอัตรา=(23x100x1)+(1x1,000x2)= 4,300 บาท (แปลว่าเวลา 23 ชั่วโมงคูณด้วย 100 ยูนิตต่อชั่วโมง คูณด้วยอัตรา 1 บาท ต่อยูนิต บวกด้วย 1 ชั่วโมง คูณ 1,000 หน่วย คูณด้วย 2 บาท ต่อหน่วย) แต่ท่านจะคิดค่าไฟฟ้าต่อหน่วยในอัตรา ณ peak hour ที่ { (23x100)+(1x1,000) } x2=6,600 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 53.49% ทีเดียว... ทราบแล้วห้ามโวยวาย เ พราะเขาทำกันทั้งโลก และเป็นวิธีการที่ผู้รู้ทุกท่านยอมรับแล้วว่า ยุติธรรมที่สุดในโลก เมื่อโวยวายไม่ได้ แต่ยังอยากเสียค่าไฟฟ้าน้อยๆ ก็กรุณาหลีกเลี่ยง peak hour

สองโมงและสองทุ่ม คือเวลาทำลายชาติไทย

“สองโมงและสองทุ่มเป็นเวลาทำลายชาติ” นั้นเป็นเรื่องจริงจังทีเดียว เพราะจากบันทึกของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่ได้บอกว่าเวลาที่ชาวไทยใช้ไฟฟ้ากันมากที่สุดนั้นคือ เวลา 14.00-16.00 น . และ 20.00-21.00 น. ซึ่งถือว่าเป็น peak hour ของประเทศเรา การไฟฟ้าท่านต้องเตรียมผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอในเวลานั้นให้ได้ ซึ่งอาจต้องมีการสูญเสียทรัพยากรสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยของประเทศเราไปบ้าง

แต่เดิม peak hour เราเกิดขึ้นเฉพาะเวลา 2 ทุ่มถึง 3 ทุ่มเท่านั้น ยามที่ไฟฟ้าขาดแคลนหรือผลิตไม่ทัน เราจะต้องแก้ปัญหาโดยการลดการใช้ไฟฟ้าที่จุดนี้ ( หลายท่านอาจจะยังจำได้ว่า เมื่อสักสิบกว่าปีที่ผ่านมา ประเทศเรามีปัญหาเรื่อง peak hour ตอน 2-3 ทุ่ม จนหลวงท่านต้องให้รายการโทรทัศน์ งดออกอากาศในช่วงนั้น) แต่หลังจากสภาวะอสังหาริมทรัพย์บูมสุดขีด เมื่อปี 2530-2533 อาคารต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งอาคารสำนักงานและอาคารพาณิชย์ เมื่ออากาศร้อนสูงสุดที่บ่ายสอง ถึงบ่ายสี่ รวมถึงกิจกรรมกิจการก็มีมากในเวลานั้น การไฟฟ้า ณ จุดนั้นจึงเพิ่มขึ้นมาก จนกลายเป็นชั่วโมงอันตราย peak hour

เชื่อหรือไม่ว่า เครื่องปรับอากาศใช้ไฟฟ้าเพื่อทำความเย็นเพียง 30-50%

ตามที่เคย เอ่ยอ้างเรื่องสภาวะน่าสบาย เกิดขึ้นจากความเหมาะสมของสภาพอุณหภูมิความชื้น-แรงลม เจ้าตัวเครื่องปรับอากาศ (หรือจะเรียกให้เต็มยศว่า “เครื่องปรับสภาวะอากาศ”) ก็คือ เครื่องกลที่ปรับสภาพของอุณหภูมิ-ความชื้น-แรงลม ในส่วนของอุณหภูมิและแรงลมนั้น พวกเราทุกคน คงจะทราบ เพราะตรงสวิตซ์ของเครื่องปรับอากาศ จะเปิดโอกาสให้เราปรับปรุงอุณหภูมิและแรงลมนั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง เราหลายท่านจะไม่ทราบ ก็คือการลดความชื้นของอากาศ หรือ อาจเรียกง่ายๆ ว่า “รีดความชื้น” (เมื่อรีดความชื้นออกมาแล้ว ก็จะกลั่นออกเป็นน้ำที่ไหลออกมาตามแฟนคอยล์ (ส่วนพัดลมเย็น) ซึ่งหากเจ้าน้ำที่โดนเครื่องปรับอากาศรีดออกมาระบายไม่ทันก็จะไหลล้นออกมาเปียกพื้น อย่างที่บ้านหลายบ้านที่ไม่ค่อยบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศกัน) ความน่าสนใจก็คือ เครื่องปรับอากาศนั้น จะใช้พลังงานเพื่อการรีดความชื้นถึง 50%-60% ใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อความเย็นเพียง 30%-50% และใช้สำหรับเป่าลมเย็น (พัดลม) เพียง 10% เท่านั้น ดังนั้น ระหว่างห้องชื้นๆ อากาศไม่ร้อนนัก กับห้องแห้งๆ อากาศร้อนๆ เครื่องปรับอากาศจะทำงานในห้องชื้นๆ มากกว่าห้องร้อนๆ ...เชื่อหรือไม่ก็ต้องเชื่อกันละค่ะ

เมื่อพูดถึงเรื่องการกินพลังงานของเครื่อง ปรับอากาศ เพื่อความรีดความชื่น และกล่าวถึงสภาวะน่าสบาย ที่ต้องมีความพอดีของ อุณหภูมิ-ความชื้น-แรงลม แล้วก็จะมีเครื่องกลอีกชนิดหนึ่งที่หลายคนเรียกว่า “พัดลมน้ำแข็ง” ซึ่งมีขายตาม ห้างสรรพสินค้าบางแห่ง เครื่องนี้จะทำงานโดยใส่ น้ำแข็งลงในถาดข้างบนไหลลงสู่ด้านล่าง ซึ่งเป็นพัดลมที่พัดเอาลมและความเย็นของน้ำแข็งนั้น มาสู่ตัวเรา เพื่อให้คลายความร้อน แต่เราลืมไปว่าตอนที่พัดลมพัดเอาความเย็นมาหาเรา เราจะได้รับเพียงการลดอุณหภูมิและแรงลม แต่เรากำลังเพิ่ม “ความชื้น” อย่างมหาศาลให้สภาวะน่าสบาย ของเรา เราจะรู้สึกเย็นแต่อึดอัด ไม่สบายตัว

เครื่องมือกลชนิดนี้ จะมีประโยชน์และ เหมาะสมกับประเทศในเขตทะเลทราย ซึ่งมีอุณหภูมิร้อนและอากาศแห้ง เพราะปรับสภาวะความ น่าสบายให้มีอุณหภูมิลดลง และเพิ่มความชื้นเข้าไปให้พอดี แต่กับประเทศเราแล้ว ความชื้นมีอยู่ เหลือเฟือ การใช้พัดลมน้ำแข็งจึงเป็นสิ่งที่สร้างความทุกข์มากกว่าความสบาย ...ใช้พัดลมธรรมดาดีกว่า นะคะ